ปัจจุบันเวิร์กกิ้งมัมมีเทคโนโลยีใกล้ตัวให้เลือกใช้หลายอย่างที่ช่วย
เพิ่มความรวดเร็ว สะดวกสบายให้กับการทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวัน
และการเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ เครื่องถ่ายเอกสาร
ไมโครเวฟ และเครื่องเล่น MP3
แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาให้รอบคอบเพื่อจะได้
ใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดค่ะ
5 ภัยเงียบ ยุค 3G ที่ คุณแม่ตั้งท้อง ต้องระวัง มีดังต่อไปนี้ค่ะ
1. คอมพิวเตอร์
ใช้อย่างไรจึงปลอดภัย? ในวันหนึ่ง ๆ
เวิร์กกิ้งมัมหลายท่านคงต้องใช้เวลาในการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โดย
เฉลี่ย 6-8 ชั่วโมง มีผลการวิจัยจากต่างประเทศทั้งที่กล่าวว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีที่แผ่ออกมาจากคอมพิวเตอร์จะมีผลต่อลูกในท้อง
ทำให้เป็นมะเร็ง
หรือการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันจะทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดน้อยลง
แต่ก็มีการวิจัยอีกหลายชิ้นที่กล่าวว่าการใช้คอมพิวเตอร์ไม่มีความเกี่ยว
ข้องกับการตั้งครรภ์และไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อลูกโดยตรง
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าการใช้คอมพิวเตอร์จะมีผลเสียต่อลูกในท้อง
โดยตรงหรือไม่ แต่หากใช้เป็นเวลานาน ย่อมทำให้คุณแม่
มีอาการไม่สบายเนื้อตัว อ่อนล้าหรือมีความเครียดเกิดขึ้นได้
ซึ่งอาการเหล่านี้ย่อมกระทบต่อลูกแน่นอนค่ะ
ตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ :
เมื่อต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมักทำให้สายตาล้า ตาแห้ง
ระคายเคืองหรือมีอาการสายตาสั้นชั่วคราว
จึงควรนั่งให้สายตาอยู่ห่างจากจอไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตร
เพื่อลดปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาให้ได้รับน้อยที่สุด
รวมถึงการติดแผ่นกรองแสงก็จะช่วยลดไฟฟ้าสถิตและป้องกันแสงสะท้อนเข้าสู่ตา
ได้ ภายในห้องควรมีแสงสว่างพอเหมาะ ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป
และควรพักสายตาจากหน้าจอประมาณ 5-10 นาที หลังจากใช้งานทุก 1 ชั่วโมง
ท่าที่ถูกต้อง : การนั่งใน
ท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้ปวดเมื่อยบริเวณไหล่ คอและหลัง
เพราะร่างกายต้องรับน้ำหนักเกินความจำเป็นและทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่
สะดวก จนเกิดอาการบวมบริเวณมือหรือเท้าได้
ท่านั่งที่ถูกต้องคือนั่งลึกให้เต็มเก้าอี้และหลังพิงพนัก
ใช้หมอนหนุนหลังและเก้าอี้ตัวเล็กรองที่เท้า ลุกขึ้นยืนยืดแขนขา
เปลี่ยนอิริยาบถในขณะทำงานบ้าง ก็จะช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
ของร่างกายได้
อุปกรณ์ต้องสะอาด : หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์และรอบ ๆ บริเวณคอมพิวเตอร์เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
สุขภาพที่ต้องใส่ใจ :
การเพ่งจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะทำให้เกิดความเครียดเพราะสมองต้องทำงานหนัก
ทางที่ดีควรหยุดพักบ้างหรือทำงานอย่างอื่นไปด้วย
เพื่อลดระยะเวลาทำงานกับคอมพิวเตอร์ให้น้อยลง
นอกจากนี้ต้องเอาใจใส่สุขภาพโดยการกินอาหารให้เป็นเวลา
ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอด้วย
นอกเหนือจากคอมพิวเตอร์แล้ว
คุณแม่ก็ไม่ควรนั่งหน้าจอโทรทัศน์เป็นเวลานานเช่นกัน
เพราะนอกจากผลกระทบดังที่กล่าวมาแล้ว
การนั่งดูโทรทัศน์เป็นเวลานานจะทำให้ปวดเมื่อยร่างกายและอ้วนง่าย
เพราะเพลิดเพลินไปกับการดูและการกินขนมจุบจิบในเวลาเดียวกันด้วยค่ะ
2. มือถือ
ใครว่าไม่อันตราย
คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือถือเป็นเวลานานในช่วงตั้งครรภ์เนื่องจากในขณะ
ที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือจะมีรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีไมโครเวฟ) ออกมา
โดยคลื่นความร้อนนี้สามารถทำลายเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์
ส่งผลให้ทารกเป็น โรคต้อกระจก ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สมาธิสั้น
พัฒนาการล่าช้า และยังเป็นสาเหตุของโรคเนื้องอกในสมองของคุณแม่อีกด้วย
หากมีความจำเป็นที่ต้องคุยโทรศัพท์มือถือบ่อย ๆ
ควรจำกัดระยะเวลาการใช้งานไม่ให้นานจนเกินไป
ให้รีบวางโทรศัพท์ทันทีเมื่อรู้สึกปวดหัว
แสบร้อนที่หูหรือผิวหนังบริเวณที่ถือโทรศัพท์
ควรใช้สมอลทอร์คแทนการใช้โทรศัพท์แนบหูจะปลอดภัยกว่า
เพราะคลื่นจะพุ่งเข้าสู่โทรศัพท์ไม่ได้เข้าสู่ผู้ใช้โดยตรง
สำหรับคุณแม่ที่มีลูกแล้วก็ไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือก่อนอายุ 9 ขวบ
เนื่องจากระบบประสาทของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่
คลื่นความร้อนอาจเข้าไปทำลายสมองและส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก
ทั้งทางด้านการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นิสัยใจคอและการพูดจาด้วย
3. เครื่องถ่ายเอกสาร
ปลอดภัยไว้ก่อน
เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์สำนักงานอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรมองข้ามความ
ปลอดภัยในการใช้งาน เพราะการใช้งานเครื่องถ่ายเอกสารบ่อย ๆ
หรือแม้แต่การนั่งทำงานใกล้เครื่องถ่ายเอกสารนั้น
จะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากรังสีและสารเคมีที่แผ่ออกมาจากเครื่องโดยที่
ไม่รู้ตัว
ถ้าไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดการสะสมในร่างกายและเป็นสาเหตุให้แท้งได้
รังสียูวี : ในการถ่าย
เอกสารทุกครั้งควรปิดแผ่นบังแสง
เพื่อป้องกันการได้รับรังสียูวีจากแสงที่แผ่ออกมาจากหลอดไฟเป็นเวลานานหรือ
ในปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้ระคายเคือง
เกิดการอักเสบของกระจกตาหรือเกิดผื่นคันตามผิวหนัง
ผงหมึก: ในหมึกของเครื่อง
ถ่ายเอกสารระบบแห้งจะมีส่วนผสมของผงคาร์บอนและเรซิน
ส่วนผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกจะละลายในสารละลายอินทรีย์พวก
ปิโตรเลียม
หากหายใจผงหมึกเข้าไปในปริมาณมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ ไอ
จาม และทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกด้วย
ก๊าซโอโซน : เกิดจากการอัด
ตัวและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้ง กระดาษ
และเมื่อมีการปล่อยแสงยูวีในขณะที่ถ่ายเอกสาร ทำให้ระคายตา จมูก หายใจสั้น
วิงเวียนมีอาการล้า โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอาการของโรคทางเดินหายใจ
อย่างหอบหืดอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงก๊าซโอโซนเป็นอย่างมาก
เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องถ่ายเอกสารบ่อย ๆ
ไม่นั่งทำงานใกล้กับเครื่องถ่ายเอกสาร
ใส่ผ้าปิดจมูกเพื่อป้องกันฝุ่นจากผงหมึก
และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดหลังการใช้งานทุกครั้งเพื่อไม่ให้มีผงหมึกหรือสาร
เคมีติดที่มือ หากเผลอไปหยิบจับอาหารหรือขนมแล้วกินเข้าไป
จะทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ค่ะ
4. ไมโครเวฟ
อุ่นอาหารอย่างไร ให้อุ่นใจ
การอุ่นหรือปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟถึงแม้จะสะดวกและรวดเร็วก็ตามแต่หากกิน
อาหารที่อุ่นด้วยไมโครเวฟ บ่อยๆ
อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการได้รับรังสีไมโครเวฟที่ออกมาในขณะที่อุ่น
อาหารสะสมในร่างกาย
เป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์
คุณแม่จึงต้องใช้ไมโครเวฟอย่างระมัดระวังและการกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ย่อม
มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารที่อุ่นจากไมโครเวฟ
ภาชนะ :
เลือกภาชนะใส่อาหารที่จะนำเข้าไมโครเวฟให้เหมาะสม เช่น ชามแก้วทนไฟ
ชามกระเบื้อง ภาชนะไม้ ห้ามใช้ภาชนะโลหะ
ภาชนะกระเบื้องที่มีขอบสีเงินหรือทอง ภาชนะพลาสติกที่ไม่ทนความร้อน รวมถึง
ไม่ควรใช้ไมโครเวฟอุ่นนมในขวดนมด้วย
อาหาร :
เลือกปรับอุณหภูมิปานกลางในการอุ่นอาหาร หรืออ่านบนฉลากอาหารก่อนทุกครั้ง
ไม่ควรใช้อุณหภูมิที่สูงจนเกินไป
เพราะจะทำให้มีการซึมของสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมาในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อ
ร่างกายได้ และควรใช้ฝาชีหรือพลาสติกทนความร้อนครอบอาหาร
(โดยไม่ต้องปิดฝาแน่น) จะช่วยกรองรังสีไมโครเวฟได้ในระดับหนึ่ง
ข้อควรระวัง :
- ไม่ควรให้ดวงตาแนบกับฝาตู้ หรือจ้องมองภายในเครื่อง (โดยเฉพาะเด็กเล็ก
ซึ่งคุณแม่ต้องระวังไม่ให้จ้องมองระหว่างการอุ่นอาหาร) ปิดฝาตู้ให้สนิท
เพื่อไม่ให้มีคลื่นไมโครเวฟรั่วออกมาระหว่างใช้งาน
- ไม่ควรนำอาหารที่มีผิวมันหรือมีเปลือกแข็งทำให้สุกโดยไมโครเวฟ
เพราะความร้อนจะทำให้อากาศภายในอาหารขยายตัวและไอน้ำที่เกิดขึ้นจะมีแรงดัน
สูง จนเกิดการระเบิดได้ ควรใช้ส้อมจิ้มที่ผิวหรือเปลือกอาหารให้เป็นรูก่อน
เพื่อป้องกันการปะทุที่เกิดจากความร้อนภายใน
5. เครื่องเล่น MP3
ดังไป นานไป ไม่ดีนะ
การฟังเพลงในช่วงที่ตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อน
คลาย โดยเฉพาะการฟังจากเครื่องเล่น MP3 เพราะพกพาได้สะดวก ฟังที่ไหนก็ได้
แต่ควรฟังในระดับเสียงและระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อการ
ได้ยินของคุณแม่เอง
และไม่กระทบต่อไปยังเส้นประสาทด้านการได้ยินเสียงของทารกด้วย
ระดับเสียงที่ฟัง :
ไม่ควรเปิดเสียงในระดับที่ดังจนเกินไป ซึ่งระดับเสียงที่ทำให้เกิดอันตราย
คือ ระดับเสียงที่ดังมากกว่า 85 เดซิเบล
หากใช้หูฟังแบบเสียบหูก็ไม่ควรตั้งระดับความดังของเสียงเกิน 60
เปอร์เซ็นต์ของระดับเสียงทั้งหมด และไม่ควรดังเกิน 70 เปอร์เซ็นต์
เมื่อใช้หูฟังแบบครอบศีรษะ นอกจากนี้ ควรรักษาระดับเสียงที่เปิดให้คงที่
ไม่ควรเพิ่มระดับให้ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพแวดล้อม
เพราะจะเป็นสาเหตุให้การได้ยินเสียงบกพร่องมากขึ้น อีกทั้งเสียงที่ดังมาก ๆ
ยังเป็นอันตรายต่อเซลล์รับคลื่นเสียงทำให้เกิดความบกพร่องด้านการได้ยินของ
ทารกอย่างถาวรได้
ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก 5 ภัยเงียบ ยุค 3G ที่ คุณแม่ตั้งท้อง ต้องระวัง จาก Mother&Care, healthcorners.com