เรื่องราวของอุบัติเหตุ ‘เด็กจมน้ำเสียชีวิต’
โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมนั้น
ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หากแต่ยังคงเป็นปัญหาที่พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยถึงสถิติการจมน้ำในรอบ 11 ปี
(ตั้งแต่ปี 2546-2556) พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง
15,495 คน เฉลี่ยปีละ 1,291 คน หรือวันละเกือบ 4 คน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม
ระหว่างมีนาคม-พฤษภาคม มีเด็กเสียชีวิตจากตกน้ำ จมน้ำสูงถึง 442 คน
สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการ
บาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีที่พบว่า
เด็กส่วนใหญ่ที่จมน้ำเสียชีวิตนั้น มักจะเป็นเด็กวัยเรียนอายุ 5- 9 ปี
และเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเกิดจากการไปเล่นใกล้ๆ แหล่งน้ำ หรือลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำของชุมชนไม่ไกลจากบ้าน แต่ห่างไกลสายตาพ่อแม่
“รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์”
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บใน
เด็ก บอกว่า ในระยะการทำงานของศูนย์วิจัยฯ ตลอด 10 ปีมานี้พบว่า
สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ลดลง 41 เปอร์เซ็นต์
จากจำนวนเสียชีวิต 600 คน/ปี เหลือเพียง 300 คน/ปี
“โดยทางศูนย์วิจัยฯ ได้ให้ความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็ก
เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ บ้าน เช่น ปิดฝาตุ่ม
ฝาถังน้ำ ปิดห้องน้ำ ปิดถังน้ำทิ้ง และจุดเสี่ยงอื่นๆ ภายในบริเวณบ้าน
เพราะโดยส่วนใหญ่เด็กวัยนี้มักเกิดอุบัติเหตุการจมน้ำภายในบริเวณบ้าน
ซึ่งหากพ่อแม่ ผู้ปกครองเฝ้าดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เผอเรอ ไม่ประมาท
ก็จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง
รวมทั้งยังช่วยกระจายความรู้ที่สามารถปฏิบัติได้จริงไปยังกลุ่มผู้ปกครอง
ด้วยกันได้”
ในขณะที่ สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุ 5 – 9 ปี นั้น
ส่วนหนึ่งคือการแนะนำให้พ่อแม่
ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังเป็นเรื่องยาก
เพราะเป็นเด็กโตและชอบออกไปเล่นนอกบ้าน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่
ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับชุมชนหรือ
โรงเรียนเพื่อฝึกเด็กให้มี
“ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ 5 ประการ” ดังนี้
1. รู้สึกเสี่ยง สอนให้เด็กรู้ว่าแหล่งน้ำไหนเสี่ยง
ไม่ควรไปวิ่งเล่นใกล้ๆ โดยอาจจะพาเด็กเดินสำรวจสิ่งแวดล้อมในชุมชน
และพาเขาไปดูว่าจุดไหนที่อันตราย และจุดไหนที่ปลอดภัย
เพราะเด็กวัยนี้จะเข้าใจ ในเหตุและผลได้แล้ว
2. ลอยตัว 3 นาที
เนื่องจากสาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่
เกิดจากการที่เด็กมักจะเล่นกันใกล้ฝั่งและพลาดตกลงไปในน้ำ
หรือการเล่นที่คึกคะนอง
แข่งขันกระโดดลงน้ำแต่กลับไม่มีความสามารถที่จะลอยตัวขึ้นมาเพื่อจะเข้าฝั่ง
ให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าลอยตัวได้ 3 นาที
เด็กที่พลัดตกในจุดที่ไม่ไกลจากฝั่งก็จะสามารถช่วยตัวเองได้
ท่าลอยตัวที่ง่ายและใช้เพื่อตะกายเข้าฝั่ง เช่น ท่าปลาดาว ท่าแม่ชีลอยน้ำ
ว่ายท่าลูกหมา เป็นต้น
3. ว่ายได้ 15 เมตร
นอกจากการลอยตัวให้ได้ 3 นาทีแล้ว เด็กยังต้องสามารถว่ายได้ไกลถึง 15 เมตร
เพื่อเป็นทักษะในการว่ายเข้าฝั่งหากพลัดตกลงไปในน้ำ ตามมาตรการ 3 น 15 ม
(3 นาที 15 เมตร) นั่นเอง
4. รู้อันตราย เด็ก
ต้องรู้ว่า
การกระโดดลงไปช่วยเพื่อนที่กำลังจมน้ำนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
แม้จะถูกฝึกมาอย่างดี ดังนั้นจึงมีหลัก 3 ข้อ คือ “ตะโกน โยน ยื่น”
ตะโกนให้ผู้ใหญ่มาช่วย, โยน สิ่งของที่อยู่รอบตัว เช่น ขวดน้ำ ถังน้ำ
แกลลอน กะละมัง รองเท้าแตะ เพื่อให้เพื่อนเกาะและสามารถใช้ลอยตัวได้, ยื่น
สิ่งยาวๆ ให้เพื่อนจับแล้วดึงเข้ามาใกล้ฝั่ง
(ฝั่งที่เขายืนก็ต้องมั่นคงด้วย)
5. การใช้ชูชีพ เพื่อ
การเดินทางทางน้ำ ไม่ว่าจะเรือพาย เรือแจว จะว่ายน้ำเป็นไม่เป็น
ก็มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำได้ทั้งนั้นหากเกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้นจึงต้องเคยฝึกที่จะใส่ – ถอดชูชีพให้ถูกวิธี
และอย่างน้อยต้องหัดลอยตัวเมื่อใส่ชูชีพให้ได้ เพราะถ้าลอยตัวไม่เป็น
หน้าคว่ำลงก็อาจจะเอาชีวิตไม่รอดได้เหมือนกัน
รศ.นพ.อดิศักดิ์เพิ่มเติมอีกว่า
ในอีกมิติหนึ่งของการป้องกันอุบัติเหตุในเด็ก คือ การสร้างชุมชนที่ปลอดภัย
เช่น เตรียมพื้นที่เล่นให้เด็ก
มีพี่เลี้ยงชุมชนคอยดูแลในจุดที่เด็กไปรวมตัวกัน
นอกจากนี้ยังต้องตัดความยั่วยวนในบริเวณแหล่งน้ำ โดยการสร้างรั้วกั้น
ติดป้ายเตือน พาเด็กเดินดู และตรวจสอบว่าตรงไหนอันตราย
พร้อมแนะนำพื้นที่ที่ปลอดภัย
ทักษะเบื้องต้นที่จะต้องถูกสอนให้กับเด็กๆ เพื่อสร้างเกาะป้องกัน
โดยใช้ความรู้และการตะหนักรู้ และสิ่งเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
ทั้งยังสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเพื่อป้องกันความสูญเสียที่ไม่มีใครต้องการ
ให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย
ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับ แม่และเด็ก จาก ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th