วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

ก่อน หลัง ลดความอ้วนน่าเหลือเชื่อ (เทคนิคลดแบบง่าย)


 สิ้นสุดการแข่งขันไปแล้ว สำหรับเวที "Dance Your FAT Off เต้นเปลี่ยนชีวิต" การประกวดความสามารถทางการเต้นของคนอ้วน  ที่สุดของรายการวาไรตี้ชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ กับบรรดาหนุ่มสาว "บิ๊กไซส์" มาแล้วอย่างกว้างขวางทั่วโลก ที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงในรูปร่างของผู้เข้าแข่งขัน ผ่านการตัดสินอย่างเที่ยงธรรมจากคะแนนในลีลาการเต้น และจำนวนน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไปวัดกันแบบ ปอนด์ต่อปอนด์!!!




โดยผู้ที่คว้ารางวัลสุดยอด "Dance Your FAT Off เต้นเปลี่ยนชีวิต" นั่นก็คือ "โจโจ้ ยศพร นวลจันทร์" จากน้ำหนักแรกเริ่มการแข่งขัน 134.3 กิโลกรัม ลดลงมา 32.50 กิโลกรัม  โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง
โจโจ้ จะมีเคล็ดลับการลดความอ้วนอย่างไร ให้ได้ผลรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด ตามทิชชี่มาหาคำตอบกันค่ะ

เมื่อก่อน "โจโจ้" เคยคิดผิดตัดสินใจไปพึ่งยาลดความอ้วน ได้รับผลข้างเคียงกลับมาไม่คุ้มค่าเลย แต่หลังจากเลือกทางพลาดไปแล้ว โจโจ้จึงบอกกับตัวเองว่า วิธีที่ได้ผลและดีที่สุดในการลดน้ำหนัก คือ การออกกำลังกาย และควบคุมอาหารอย่างมีวินัยนั่นเอง



"คุณหมอบอกว่า ช่วงแรกที่ลดความอ้วนเราจะลดได้เยอะและเร็วมาก แต่หลังจากนั้นร่างกายจะลดน้ำหนักลงยากมากขึ้น อย่างช่วง 2 เดือนแรกจะอยู่ที่เฉลี่ย 3 กิโล จนมาอยู่ที่ 1.3 กิโล ไม่สามารถลดลงไปได้มากกว่านี้ในแต่ละสัปดาห์" โจโจ้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ช่วงหลังน้ำหนักของเขาไม่ค่อยลดลงเท่าสัปดาห์แรกๆ

เคล็ดลับง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองเพียงเท่านี้ คุณสาวๆ ลองทำเป็นประจำ และมีวินัยในตัวเองสม่ำเสมอนะคะ อ้วนเพียงไหน แค่ตั้งใจ ก็ผอมได้ง่ายๆ แล้วคะ สู้ๆ นะคะ สาวๆ เจ้าเนื้อทุกคน ทิชชี่ และทีมงาน Sanook! Women จะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก : http://www.prachachat.net/, สนุกดอทคอม
ขอบคณภาพประกอบ :
www.danceyourfatoff.com, facebook.com/danceyourfatoff

แฉให้หมด”ยาลดความอ้วน”ผสมอะไรบ้าง

ผู้หญิงยุค 3G ทำอะไรต้องรวดเร็วทันใจไปหมดไม่เว้นแม้กระทั่งการลดความอ้วน ที่ยอมทำทุกอย่างทั้งอดอาหาร ไม่กินของมัน งดแป้ง สารพัดจะทำแต่กลับหันไปพึ่งพา "ยาลดความอ้วน" ที่มีอยู่เต็มท้องตลาดหาซื้อง่ายๆ ไว่าจะเป็นลดพุง ลดน่อง ลดสะโพก ลดต้นแขน ฯลฯ กินแล้วน้ำหนักลดลง แต่เสี่ยงหัวใจล้มเหลว และตายได้ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงตามมาอีกมากมาย





แต่ถามว่าทำไมผู้หญิงเหล่านี้ยอมเสี่ยง แล้วคุณรู้ไหมว่ายาเหล่านี้มีส่วนผสมของอะไรบ้าง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)แจงส่วนผสมยาลดความอ้วนส่วนใหญ่คือ แอมฟีปาโมนและเฟเทอร์มัน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ลดความอยากอาหารแต่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายทำให้นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ความดันโลหิตสูง หงุดหงิด หัวใจเต้นเร็ว หากใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เกิดการติดยาและทำให้เป็นโรคจิตได้

จากการสำรวจตลาดซื้อขายยาลดความอ้วนทางอินเทอร์เน็ตพบว่า มีการประกาศขายตัวยาลดความอ้วน "ไซบูทรามีน" ผ่านทางเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 3 แสนรายการ โดยยาที่ขายนั้นจะเป็นกล่องใส่เม็ดยาขนาด 15 มก. จำนวน 30 เม็ด ขายในราคาประมาณ 1,800-2,500 บาท หรือบางแห่งประกาศขายเป็นเม็ดขนาด 20 มก. ในราคาเม็ดละ 40 บาท หากซื้อ 100 เม็ดขึ้นไปจะเหลือเม็ดละ 35 บาท ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อความโฆษณาหรืออวดอ้วงสรรพคุณเกินจริงหลายอย่าง ทั้งที่จริงๆแล้วไม่มียาไหนลดน้ำหนักได้ผลเท่ากับการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นสาวๆอย่าเสี่ยงชีวิตแค่เพียงยาไม่กี่เม็ดดีกว่านะคะ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับการลดความอ้วน จาก  Chalida Rita
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.photos.com/

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

แม่ท้อง ทำไม เหนื่อย ขนาดนี้



อายุครรภ์  14-27  สัปดาห์ : ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ

“ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ” คงมีว่าที่คุณ แม่ท้อง หลายคนบ่นกันไม่น้อย ยังไม่ทันหายเหนื่อยจากอาการแพ้ท้องดี ก็ต้องมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แล้วไหนจะตอนใกล้คลอดอีก อย่าเพิ่งคิดมากไปค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับแก้ เหนื่อย มาแนะนำว่าที่คุณแม่กัน

อาหารการกิน การดูแลตัวเองด้วยอาหารที่ดีมีโภชนาการ จะช่วยให้คุณแม่ท้องต่อสู้กับความเหนื่อยล้าได้ค่ะ แต่ละมื้อควรประกอบด้วยผักและผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือขัดสีน้อย โปรตีนที่ปราศจากไขมัน นมไขมันต่ำ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อลูกน้อยในครรภ์

น้ำเปล่า ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ให้เพียงพ่อต่อร่างกาย เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ ช่วยคลายอาการอ่อนล้าและอาการปวดหัวได้

รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย คุณแม่ลองแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ กินให้บ่อย แต่อย่างดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้า ลองพกอาหารว่างอย่างกล้วย หรือแคร็กเกอร์ไว้ใกล้ๆ เมื่อเหนื่อยก็หยิบมากินเพื่อเพิ่มพลังงานได้ทันทีค่ะ

รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง รับประทานผักผลไม้ที่มีธาตุเหล็ก เช่น แบล็กเคอร์แรนท์ แอปริคอตอบแห้ง บรอกโคลี เป็นต้น

ปรับการทำงาน อย่านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ลองหาเวลาพักออกไปสูดอากาศภายนอกบ้าง และหากเป็นไปได้ ลองปรับเวลาการทำงานให้ยืดหยุ่นขึ้น เช่น สามารถเลิกงานเร็วกว่าปกติ เป็นต้น

ออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพแม่และลูกแข็งแรง เพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกาย เลือกออกกำลังกายที่เบาๆ อย่างโยคะคนท้อง พีลาทีส รำไทเก็ก หรือการเดินเล่นก็ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ
 
ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก  จาก นิตยสาร Real Parenting ภาพจาก Instagram อ้อม พิยดา

เจ็บท้องคลอด และวิธีลดอาการเจ็บ



ในช่วงใกล้คลอด มดลูกจะขยายตัวและเคลื่อนต่ำลง เมื่อคลำดูบริเวณหน้าท้องจะรู้สึกว่ามีก้อนแข็งๆ อาการแบบนี้เรียกว่า “ท้องแข็ง” หรือ“เจ็บท้องเตือน” ซึ่งการแข็งตัวของมดลูกนี้จะมีความถี่ที่ไม่สม่ำเสมอ อาจจะนานประมาณ 20-25 วินาที ในแต่ละครั้ง ซึ่งอาการท้องแข็งจะเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด

อาการเจ็บท้องเตือนเป็นกระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนคลอดของร่างกายคุณ แม่ ซึ่งจะช่วยให้ปากมดลูกมีความอ่อนนุ่ม เพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดไปยังรก ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณแม่มีอาการเจ็บท้องเตือนเป็นระยะๆ และมีอาการท้องแข็งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ็บแบบสม่ำเสมอและเจ็บนานขึ้นเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจจะเป็นการเจ็บท้องจริงแล้วก็ได้

วิธีลดอาการ เจ็บท้องคลอด
อาการ เจ็บท้องคลอด เป็นอาการที่ว่าที่คุณแม่ทุกคนต้องเผชิญในช่วงใกล้คลอด แต่ไม่ต้องกังวล เพราะในปัจจุบันมีวิธีการที่จะช่วยลดอาการเจ็บได้ ดังนี้

การลดความเจ็บปวดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น ลดความตึงเครียดโดยฝึกหัดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกหายใจ ลูบหน้าท้อง และอย่าวิตกกังวลจนเกินไป พูดคุยหากำลังใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคุณพ่อควรดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้ยาแก้ปวดและช่วยลดความเจ็บปวดจากการคลอด

การลูบหน้าท้อง การลูบหน้าท้องที่เป็นจังหวะจะช่วยเบนความสนใจของคุณแม่ออกจากจุดที่เจ็บปวด มาที่ตำแหน่งที่ทำให้คุณแม่สบายขึ้น วิธีการก็คือ ทำมือทั้งสองให้มีลักษณะเป็นอุ้งมือ จากนั้นใช้อุ้งมือวางเหนือหัวหน่าว เริ่มลูบเบาๆ จากจุดนี้ไปถึงยอดมดลูก แล้วลูบลงมาถึงตำแหน่งเริ่มต้นใหม่ ทำไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการหายใจแบบลึกๆ ช้าๆ คือ หายใจล้างปอด 1 ครั้งแล้วต่อด้วยการหายใจแบบลึกๆ ช้าๆ

การใช้ยาระงับความเจ็บปวด (Systemic Analgesia) หรือการใช้ยานอนหลับ วิธีนี้สามารถระงับอาการปวดได้ดี ช่วยลดความเครียด คุณแม่สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ในระยะแรกของการคลอด ถ้าคุณแม่รู้สึกเจ็บมาก แพทย์จะให้ยาระงับความเจ็บปวด

การใช้ยาชาเฉพาะที่สกัดกั้นประสาท (Regional Analgesia) ยาจะออกฤทธิ์โดยยับยั้งการส่งผ่านกระแสประสาทนำความรู้สึกจากบริเวณมดลูกและ กระดูกเชิงกรานไปสู่ไขสันหลัง ทำให้การส่งผ่านความรู้สึกของเส้นประสาทช้าลงหรือหยุดลงชั่วคราว คุณแม่จะรู้สึกชาตั้งแต่เอวลงมา เป็นการระงับความเจ็บปวดเฉพาะที่ ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้ยาระงับความรู้สึกนอกเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก (Epidural Block Analgesia) มีข้อดีคือ ช่วยให้คุณแม่ไม่เจ็บครรภ์ ถ้าทำถูกวิธีและให้ขนาดยาถูกต้อง จะไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่อผู้คลอดและลูกน้อยในครรภ์ และไม่มีผลกระทบต่อระบบเวลาการคลอด สามารถใช้ยาชาซ้ำได้หลายครั้ง ซึ่งการใช้ยาดังกล่าวคุณแม่จะรู้สึกตัวตลอดเวลา

การใช้ยาระงับความเจ็บปวดชนิดสูดดม (Inhalation Analgesia) คือ การใช้ยาสลบประเภทสูดดมในขนาดต่ำ ปกติมักใช้เพื่อเสริมฤทธิ์ของยาฉีดแก้ปวด ปัจจุบันนิยมใช้ก๊าซไนตรัสออกไซด์ต่อออกซิเจนในขนาดความเข้มข้น 50:50 มีฤทธิ์เป็นยาสลบอย่างอ่อน ไม่กดการหายใจ ไม่มีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด ไม่กดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดโดยที่คุณแม่ไม่หลับ จึงช่วยป้องกันการสำลักอาหารได้ด้วย

อย่างไรก็ดี แพทย์จะเป็นผู้เลือกวิธีระงับความเจ็บปวดเพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อย

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก  จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

10 อุบัติเหตุที่ แม่ ตั้งครรภ์ ต้องระวัง

นิสัยซุ่มซ่ามของคุณผู้หญิงที่ เคยซุ่มซ่ามอย่างไร ตั้งครรภ์ แล้วก็ไม่หายหรอกนะคะ แต่อาจจะต้องเพิ่มความระวังมากขึ้นหน่อย โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เสี่ยงให้เกิดอันตรายมากขึ้น เห็นทีคุณแม่ท้องทุกคนต้องระวังให้มากเหมือนกันค่ะ



1. ท้องกระแทกกับพวงมาลัยรถยนต์
คุณแม่ ตั้งครรภ์ ที่ขับรถเอง แม้ไม่เกิดอุบัติเหตุก็อาจจะมีบ้างที่รถเบรกกะทันหันและรุนแรง จนท้องที่มีขนาดใหญ่อาจจะกระแทกกับพวงมาลัยได้ ซึ่งหากกระแทกในระดับเบาๆ ก็อาจจะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่ถ้ากระแทกบ่อยๆ หรือรุนแรงก็ย่อมเกิดอันตรายกับทั้งตัวคุณแม่และลูกในท้องได้

2. ตกบันได ตกส้นรองเท้า(ทั้งส้นเตี้ยและส้นสูง)
คุณแม่ที่รักสวยรักงาม ยังกังวลว่าบุคลิกจะดูไม่ดี รวมถึงชินและมั่นใจว่าใส่ได้ไม่มีปัญหา จึงยังใส่รองเท้าส้นสูงเหมือนปกติ ขอบอกว่าช่วงนี้คงต้องงดไปก่อนค่ะ เพราะการใส่รองเท้าส้นสูง คุณแม่จะต้องเกร็งขาและเกร็งหน้าท้องเพื่อพยายามทรงตัวให้เดินได้ดี ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นผลทำให้คุณแม่ปวดขา ปวดหลัง ซึ่งส่งผลเสียกับสุขภาพค่ะ

ที่สำคัญส้นรองเท้าที่เรียวบางและสูง คงไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ จึงอาจจะทำให้คุณแม่เท้าพลิกหรือตกส้นรองเท้า จนเกิดบาดเจ็บขึ้นได้

3. โดนชนแรงๆ ในที่ที่พลุกพล่าน
จะห้ามไม่ให้คุณแม่เดินไปไหนมาไหนเลยคงยากเต็มทีค่ะ ยิ่งคุณแม่ working mom ก็อาจจะยิ่งยากต่อการที่จะเลี่ยงจากแหล่งชุมชน คนพลุกพล่าน ก็อาจจะทำให้มีโอกาสที่คุณแม่โดนกระแทกหรือชนขณะที่เดินสวนกับคนอื่นมากขึ้น

4. เข็มขัดนิรภัยรถยนต์รัดท้อง
หากคุณแม่คาดเข็มขัดนิรภัยไม่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้แล้ว ยังได้รับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้ด้วยค่ะ เช่น เข็มขัดนิรภัยรัดท้อง ถูกเข็มขัดนิรภัยรัดแขน

5. นั่งมอเตอร์ไซด์หรือขับรถตกหลุมแล้วกระแทก
หากคุณแม่ต้องนั่งมอเตอร์ไซด์ หรือขับรถเอง การตกหลุมหรือการกระแทกกระทั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก ถึงปกติแล้วร่างกายจะมีการป้องกันตามธรรมชาติคือ การที่ลูกอยู่ในโพรงมดลูก จะมีน้ำคร่ำที่ทำหน้าที่เป็นแอร์แบ็คชั้นดี ช่วยลดแรงกระทบกระเทือนจากภายนอกลงได้บ้าง แต่หากได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ตกหลุมลึกและตกแรง ก็อันตรายไม่น้อยค่ะ

6. นั่งแล้วลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป
อาการปรู๊ดปร๊าด ผุดลุกผุดนั่ง หรือทำอะไรรวดเร็วนี่ถือเป็นบุคลิกที่สั่งสมมานาน จะให้เปลี่ยนในช่วง 2-3 เดือนแรกคงต้องใช้เวลานะคะ แล้วส่วนใหญ่การลุกขึ้นยืนเร็วๆ มักจะเกิดกับคุณแม่ท้องอ่อนๆ

7. ลื่น (ในห้องน้ำ บันได)
ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น บวกกับการเคลื่อนไหวที่ไม่คล่องตัวเหมือนตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์ คุณแม่อาจจะเผลอเดินเร็ว ก้าวเท้าไปอย่างไม่ระมัดระวังและไม่มองพื้นบ้าง เช่น การก้าวขึ้น ลงบันได ด้วยขนาดท้องที่ใหญ่ ก็อาจจะบดบังทัศนียภาพการเดินของคุณแม่ ทำให้มองไม่เห็นขนาดของขั้นบันไดว่ากว้าง ยาว เท่าไหร่ ทำให้การกะระยะผิดพลาดได้ค่ะ

หรือพื้นห้องน้ำที่เคยเข้ามาตั้งหลายปี อาจจะมาลื่นใน ช่วง ตั้งครรภ์ ได้ เพราะจังหวะที่ลื่นไถลไปนั้น ถ้าเป็นช่วงที่ไม่ตั้งครรภ์ก็คงสามารถเกี่ยว เหนี่ยว ยึด เกาะ ดึง สิ่งรอบข้างพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปได้ แต่ถ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งท้องใหญ่ความคล่องตัวก็จะลดลงด้วยนะคะ

8. สะดุด (ทางเท้า โต๊ะ เก้าอี้ สิ่งของ กางเกง กระโปรง)
คงเคยเห็นว่าเก้าอี้ หรือของก็วางอยู่ที่เดิม แต่เท้าเจ้ากรรมก็พานไปเตะเข้าจนได้ อุบัติเหตุที่มักจะพบในกลุ่มนี้บ่อยๆ คือ ชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ เตะกล่องที่วางบนพื้น ขาเตะขอบประตู หรือหากใส่กางเกง กระโปรงยาวคุณแม่อาจจะสะดุดกางเกงหรือกระโปรงได้ค่ะ

9. ท้องชนโต๊ะ ชนประตู เพราะกะระยะผิด
จากเดิมที่หน้าท้องเคยแบนราบ แต่เมื่อ ตั้งครรภ์ ด้วยท้องที่โตขึ้นในแต่ละเดือน ด้วยความที่ยังไม่เคยชิน โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ก็อาจจะทำให้การกะระยะสิ่งของกับขนาดของท้องที่ยื่น ออกไปผิดพลาด จึงอาจจะเห็นคุณแม่ท้องเดินชนของประจำเพราะความไม่เคยชินนี่ล่ะค่ะ

10. เผลอยกของหนัก เกินกำลัง หรือเผลอก้มทั้งๆ ที่ท้องใหญ่
มักจะเกิดกับคุณแม่จอมพลังที่เคยชินกับพฤติกรรมการยกของ (หนัก) เอง ช่วง 9 เดือนเห็นทีต้องถอดชุดมนุษย์จอมพลังออกก่อน กล่องใหญ่ เก้าอี้ตัวยักษ์ หรืองานที่ต้องออกแรง เรียกให้คุณพ่อหรือเพื่อนร่วมงานผู้ชายมาช่วยก่อนค่ะ ส่วนการเผลอก้มใส่รองเท้า หรือทำอะไรปรูดปราดรวดเร็วเกินตัว ส่วนใหญ่เกิดจากความเคยชินเดิมๆ ทำไปโดยอัตโนมัติ หรือคุณแม่บางคนอาจจะลืมไปว่ากำลังตั้งครรภ์ก็มีค่ะ

หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบคุณหมอด่วนจี๋เลยค่ะ
1. เจ็บท้องตลอดเวลาหลังเกิดอุบัติเหตุ อาจจะเกิดรกลอกตัว มดลูกแตก หรือถ้าเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหายอาจจะเป็นการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้
2. มีเลือดออกทางช่องคลอด เลือดออกกะปริดกะปรอย อาจจะเกิดจากการที่รกลอกตัว
3. จากที่ลูกเคยดิ้น กลับไม่ดิ้น

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับ แม่และเด็ก  จาก momypedia.com

เสริมเกราะเหล็ก ป้องกัน เด็กจมน้ำ เสียชีวิต

 เรื่องราวของอุบัติเหตุ ‘เด็กจมน้ำเสียชีวิต’ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากแต่ยังคงเป็นปัญหาที่พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลใจอยู่ไม่น้อย


ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยถึงสถิติการจมน้ำในรอบ 11 ปี (ตั้งแต่ปี 2546-2556) พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง 15,495 คน เฉลี่ยปีละ 1,291 คน หรือวันละเกือบ 4 คน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม ระหว่างมีนาคม-พฤษภาคม มีเด็กเสียชีวิตจากตกน้ำ จมน้ำสูงถึง 442 คน

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการ บาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีที่พบว่า เด็กส่วนใหญ่ที่จมน้ำเสียชีวิตนั้น มักจะเป็นเด็กวัยเรียนอายุ 5- 9 ปี และเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเกิดจากการไปเล่นใกล้ๆ แหล่งน้ำ หรือลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำของชุมชนไม่ไกลจากบ้าน แต่ห่างไกลสายตาพ่อแม่

“รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บใน เด็ก บอกว่า ในระยะการทำงานของศูนย์วิจัยฯ ตลอด 10 ปีมานี้พบว่า สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ลดลง 41 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเสียชีวิต 600 คน/ปี เหลือเพียง 300 คน/ปี

“โดยทางศูนย์วิจัยฯ ได้ให้ความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็ก เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ บ้าน เช่น ปิดฝาตุ่ม ฝาถังน้ำ ปิดห้องน้ำ ปิดถังน้ำทิ้ง และจุดเสี่ยงอื่นๆ ภายในบริเวณบ้าน เพราะโดยส่วนใหญ่เด็กวัยนี้มักเกิดอุบัติเหตุการจมน้ำภายในบริเวณบ้าน ซึ่งหากพ่อแม่ ผู้ปกครองเฝ้าดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เผอเรอ ไม่ประมาท ก็จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง รวมทั้งยังช่วยกระจายความรู้ที่สามารถปฏิบัติได้จริงไปยังกลุ่มผู้ปกครอง ด้วยกันได้”



ในขณะที่ สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุ 5 – 9 ปี นั้น ส่วนหนึ่งคือการแนะนำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเด็กโตและชอบออกไปเล่นนอกบ้าน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับชุมชนหรือ

โรงเรียนเพื่อฝึกเด็กให้มี “ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ 5 ประการ” ดังนี้

1. รู้สึกเสี่ยง สอนให้เด็กรู้ว่าแหล่งน้ำไหนเสี่ยง ไม่ควรไปวิ่งเล่นใกล้ๆ โดยอาจจะพาเด็กเดินสำรวจสิ่งแวดล้อมในชุมชน และพาเขาไปดูว่าจุดไหนที่อันตราย และจุดไหนที่ปลอดภัย เพราะเด็กวัยนี้จะเข้าใจ ในเหตุและผลได้แล้ว

2. ลอยตัว 3 นาที เนื่องจากสาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่ เกิดจากการที่เด็กมักจะเล่นกันใกล้ฝั่งและพลาดตกลงไปในน้ำ หรือการเล่นที่คึกคะนอง แข่งขันกระโดดลงน้ำแต่กลับไม่มีความสามารถที่จะลอยตัวขึ้นมาเพื่อจะเข้าฝั่ง ให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าลอยตัวได้ 3 นาที เด็กที่พลัดตกในจุดที่ไม่ไกลจากฝั่งก็จะสามารถช่วยตัวเองได้ ท่าลอยตัวที่ง่ายและใช้เพื่อตะกายเข้าฝั่ง เช่น ท่าปลาดาว ท่าแม่ชีลอยน้ำ ว่ายท่าลูกหมา เป็นต้น

3. ว่ายได้ 15 เมตร นอกจากการลอยตัวให้ได้ 3 นาทีแล้ว เด็กยังต้องสามารถว่ายได้ไกลถึง 15 เมตร เพื่อเป็นทักษะในการว่ายเข้าฝั่งหากพลัดตกลงไปในน้ำ ตามมาตรการ 3 น 15 ม (3 นาที 15 เมตร) นั่นเอง

4. รู้อันตราย เด็ก ต้องรู้ว่า การกระโดดลงไปช่วยเพื่อนที่กำลังจมน้ำนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แม้จะถูกฝึกมาอย่างดี ดังนั้นจึงมีหลัก 3 ข้อ คือ “ตะโกน โยน ยื่น” ตะโกนให้ผู้ใหญ่มาช่วย, โยน สิ่งของที่อยู่รอบตัว เช่น ขวดน้ำ ถังน้ำ แกลลอน กะละมัง รองเท้าแตะ เพื่อให้เพื่อนเกาะและสามารถใช้ลอยตัวได้, ยื่น สิ่งยาวๆ ให้เพื่อนจับแล้วดึงเข้ามาใกล้ฝั่ง (ฝั่งที่เขายืนก็ต้องมั่นคงด้วย)

5. การใช้ชูชีพ เพื่อ การเดินทางทางน้ำ ไม่ว่าจะเรือพาย เรือแจว จะว่ายน้ำเป็นไม่เป็น ก็มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำได้ทั้งนั้นหากเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงต้องเคยฝึกที่จะใส่ – ถอดชูชีพให้ถูกวิธี และอย่างน้อยต้องหัดลอยตัวเมื่อใส่ชูชีพให้ได้ เพราะถ้าลอยตัวไม่เป็น หน้าคว่ำลงก็อาจจะเอาชีวิตไม่รอดได้เหมือนกัน

รศ.นพ.อดิศักดิ์เพิ่มเติมอีกว่า ในอีกมิติหนึ่งของการป้องกันอุบัติเหตุในเด็ก คือ การสร้างชุมชนที่ปลอดภัย เช่น เตรียมพื้นที่เล่นให้เด็ก มีพี่เลี้ยงชุมชนคอยดูแลในจุดที่เด็กไปรวมตัวกัน นอกจากนี้ยังต้องตัดความยั่วยวนในบริเวณแหล่งน้ำ โดยการสร้างรั้วกั้น ติดป้ายเตือน พาเด็กเดินดู และตรวจสอบว่าตรงไหนอันตราย พร้อมแนะนำพื้นที่ที่ปลอดภัย

ทักษะเบื้องต้นที่จะต้องถูกสอนให้กับเด็กๆ เพื่อสร้างเกาะป้องกัน โดยใช้ความรู้และการตะหนักรู้ และสิ่งเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต ทั้งยังสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเพื่อป้องกันความสูญเสียที่ไม่มีใครต้องการ ให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับ แม่และเด็ก  จาก ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th

รักษาสิวได้ง่ายๆ ด้วยว่านหางจระเข้

"สิว" เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจของผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน วัยไหน สิวก็ยังเป็นเรื่องที่ทำร้ายผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ เท่านั้นยังไม่พอนะค่ะเวลาเห็นแล้วสาว ส่วนใหญ่จะอดไม่ได้ที่แบบจะ บีบๆ แล้วหลังจากนั้นมันทำพิษจร้าทิ้งรอยดำไว้ให้ปวดกะบาลกันเลยทีเดียว แล้วรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิวนี้ก็แบบว่าหายยากเวินเว่อร์เลยจะบอกให้ แต่เราก็ไม่สามารถที่จะหนีปัญหาเหล่านี้ได้ งั้นเราก็ต้องสู้กับมันให้ถึงที่สุดเลยจร้า เนื่องจากว่าเราไม่สามารถหนีปัญหาสิวเพราะฉันนั้นเราก็รักษามันแบบสิวๆ ได้นิน่าจริงไหมค่ะ แล้วเราจะรักษาแบบสิวๆ ยังไง นี้คงเป็นอีกหนึงคำถามที่คาใจสาวๆ อยู่ วันนี้ทาง N3K มีเคล็ดลับ รักษาสิวได้ง่ายๆ ด้วย ว่านหางจระเข้ มาฝากกันค่ะ ทีนี้แหละสาวที่เป็นสิวทั้งหลายได้หมดความกังวลใจอย่าแน่นอน อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือว่าวิธีรักษาสิวได้ง่ายๆ ด้วยว่านหางจระเข้ วิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและได้ผลมากๆ อีกด้วยนะค่ะ งั้นเราก็อย่ารอช้าเลยนะค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าวิธีรักษาสิวได้ง่ายๆ ด้วยว่านหางจระเข้ นี้จะง่ายและได้ผลแค่ไหน



เคล็ดลับการ รักษาสิวได้ง่ายๆ


วิธีทำ  

โดยใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน แต่ก่อนใช้ควรทดสอบก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำจากวุ้นสีขาวของว่าน หางจระเข้ ทาบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าไม่เกิดเป็นผื่นแดง ก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยลดความมันของผิวหน้าได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอีกด้วย

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom

รู้หรือไม่! มะละกอสุก "ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน"

ปัญหาหน้ามันเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำร้ายความมั่นใจของสาวๆทุกคน โหว ก็ใครที่ไหนจะมาคอยซับ คอยโบ๊ะหน้า ทั้งวัน ไม่ไหวหรอกค่ะจริงๆ แล้วยิ่งอากาศร้อนๆ นะอย่าให้พูดถึงเลยค่ะ หน้านี้แบบทอดไข่ได้เลยอะ บ่องตง แล้วจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร สาวๆ หลายๆ คนนั้นก็คงจะลองมาหลายวิธีแล้ว ซึ่งเชื่อว่ายังมีสาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ได้ผลแล้วยังคงต้องเจอกับปัญหาหน้ามันนี้อยู่ สาวๆ รู้หรือไม่!มะละกอสุก "ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน" ได้นะค่ะ อะอ้าว ถึงกับ งง กันเลยสิค่ะว่ามะละกอสุกนี้จะ ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน ได้อย่างไร ได้ค่ะได้ เพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนออกมาแล้วว่า เจ้ามะละกอสุกเนี๊ยสามารถ ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน ปัญหาที่กวนใจของสาวๆ ได้ แล้วจะทำยังงัย กินหรอ หรือพอกหน้า งั้นเอาเป็นว่าอย่ามัวนั่งสงสัยกันอยู่เลยดีกว่าค่ะ เสียเวลา เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่านะค่ะว่ามะละกอสุกนั้นจะ ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน ได้อย่างไร



 มะละกอสุก "ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน" 

วิธีทำ

1.ให้นำ มะละกอ สุก 1 ชิ้น(ประมาณ 100กรัม) บดให้ละเอียด

2. บีบมะนาวครึ่งผลใส่ลงไป ถ้าหน้ามันมากจะใช้มะนาวทั้งผลก็ได้

3. จากนั้นผสมด้วยน้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน

4. นำมาทาบนใบหน้าและลคอ ทิ้งไว้ 20 30 นาที

5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็นอีกที

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom

เคล็ดลับ.....ลดความมันบริเวณรอบจมูก

ปัญหาความมันบนใบหน้าเป็นอีกหนึ่งปัญหาหลักที่สาวๆ ต้องพบเจอ โดยเฉพาะบัญหาความมันบริเวณรอบๆ จมูก บ่องตงเลยว่าเป็นอะไรที่แบบว่าดูแลรักษายากมาก เป็นปัญหาที่แบบว่ากวนใจสาวๆ อย่างที่สุด แล้วก็แบบเพิ่งจะโบ๊ะก็มันแล้วอ่า ยังไม่ถึง 5 นาทีเลยมันอีกแล้วอ่า ไม่ไหวๆ เลยนะแบบนี้ ถ้าเกิดว่า ปัญหาความมันบริเวณรอบจมูกนี้จะกวนใจขนาดนี้ก็นะ หืม จะจัดการมันยงงัยดีเนี๊ย โอ๊ยๆ เครียด ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะว่าวันนี้ทาง N3k  มีเคล็ดลับ.....ลดความมันบริเวณรอบจมูก มาฝากกันค่ะ สำหรับในวัน เคล็ดลับ.....ลดความมันบริเวณรอบจมูก ของเราในวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ง่ายๆ เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆ ที่ไม่ว่าคุณหรือใครๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ เชื่อว่าปัญหาความมันรอบจมูกจะไม่มีทางมากวนใจสาวๆ ได้อีกอย่างแน่นอนจร้า งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้นะค่ะ เราไปดู เคล็ดลับ.....ลดความมันบริเวณรอบจมูก กันเลยดีกว่าจะง่ายและถูกใจสาวๆ แค่ไหค่ะ



เคล็ดลับ.....ลดความมันบริเวณรอบจมูก


มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทั้งสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม และรอบเดือน บางครั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ และการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำก็ยังอาจไม่พอ คุณจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างล้ำลึกสัปดาห์ละครั้ง ด้วยมาส์กที่มีขายตามเคาน์เตอร์ทั่วไป หรืออาจลองปรุงมาส์กพอกหน้าตำรับทำเอง

ขั้นตอน

ผสมข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำนม เติมมันเนย 4 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้นๆ นำมาพอกหน้า และลำคอทิ้งไว้ 15 – 20 นาที หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้แห้งหมาด ๆ ตามด้วยน้ำสะอาด และตบท้ายด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยกระชับรูขุมขนค่ะ

ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom

น้ำซาวข้าว เคล็ดลับมือสวย

ผู้หญิงอย่างเรานี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสวย ไม่ใช่แค่หน้านะค่ะ ขอเน้นว่าทุกอย่างในตัวของผู้หญิงเราเลย ซึ่งทั้งหุ่น ทั้งผิว หน้าตา สาวๆ นั้นให้ความสนใจแบบเว่อร์ๆ แต่สาวๆ ลืมไปหรือเปล่าค่ะว่า มือขอผู้หญิงนั้นเป็นอะไรที่สวยมากๆ แล้วเป็นอวัยวะที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างของร่างกายเลยก็ว่าได้ มือนั้นเป็นอวัยวะที่มีส่วนร่วมในทุกวินาทีของการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เสมอแล้วถ้ามือนั้นทำงานหนักขนาดนี้ก็ต้องเป็นธรรมดาที่มีอจะได้รับการดูแล แต่เชื่อว่าหลายๆ คนนั้นก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก จริงๆ แต่นับจากวินาทีนี้ของให้สาวๆ ทุกคนคิดใหม่ได้เลยนะค่ะ เพราะว่าวันนี้ทาง N3K เรามี เคล็ดลับมือสวย ด้วยน้ำซาวข้าว มาแนะให้ได้รู้กันค่ะ โอ้ว้าวว....น้ำซาวข้าว "เคล็ดลับมือสวย" ที่หลายๆ คนมองข้าม ความสวยง่ายๆ ที่มาจากสิ่งที่ใกล้ตัวเว่อร์ โอ้ว น้อวววว...... เรามองข้ามไปได้ยังงัยเนี๊ย เอาเป็นว่าเก๊าอะพร้อมแล้วกับ เคล็ดลับมือสวย นี้แล้วสาวๆ พร้อมหรือยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปปฏิบัติการมีมือสวยด้วย เคล็ดลับมือสวย ด้วยน้ำซาวข้าวกันเต๊อะ


เคล็ดลับมือสวย ด้วยน้ำซาวข้าว


วิธีการทำ  

ก็ง่ายๆ เพียงคุณนำน้ำซาวข้าวที่ได้จากการซาวข้าวในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มาแช่มือ แช่ประมาณ 20-30 นาที ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เท่านี้มือของคุณก็จะกลับมานุ่มน่าสัมผัสได้เหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะ

อ้อ…! และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อทดแทนน้ำหล่อเลี้ยงที่เสียไปนะคะ


ขอขอบคุณบทความเกี่ยวกับผิวพรรณ  จาก modernmom 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

ออกกำลังกาย ที่ไม่เหมือน ออกกำลังกาย


ทั้งๆ ที่รู้ว่าการออกกำลังจะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย และส่งผลดีต่อตัวเอง... หากสำหรับบางคนแล้ว การต้องออกไปวิ่ง หรือขยับเนื้อขยับตัวนั้น ไม่ต่างอะไรกับยาขม....

สิ่งแรกที่คุณควรเริ่มคิดคือ การออกกำลังไม่ น่าเบื่ออย่างที่คิด และยัง ทำให้คุณสนุกได้ด้วยก็แล้วคุณจะทำให้มันสนุกได้อย่างไรคำตอบคือ ตระหนักไว้เสมอว่าการออกกำลังให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย และส่งผลอย่างไร ต่อการดำเนินชีวิตของคุณ แม้ว่าคุณจะไม่ชอบ การออกกำลังชนิดนี้เลย... แต่ก็ต้องมีสักชนิดที่เหมาะสมกับคุณ ลองคิดเล่นๆ ว่า การตามหาการออกกำลังที่เหมาะสมก็ไม่ต่างอะไรจากการตามหาคู่แท้ ที่ยิ่งหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทรงคุณค่า ในตอนท้ายมากขึ้นเท่านั้น

- ออกกำลังด้วยการเต้น
ไม่ว่าใครก็ชอบเต้นทั้งนั้น และการเต้นก็คือการออกกำลังรูปแบบหนึ่ง ที่จะส่งผลดีต่อทุกสัดส่วนในร่างกายของคุณ ถ้าหากไม่ชอบการออกกำลังประเภทใดเลย ก็ลองเลือกไปเรียนเต้นในรูปแบบที่คุณชอบ อาจจะเต้นจังหวะมันๆ อย่างฮิปฮ็อป อาร์แอนด์บี หรือลีลาศบอลรูมเบื้องต้น ที่ให้ความรู้สึกงดงามละมุนละไม หรือจะเลือกการเต้นแบบละตินที่เรียกเหงื่อได้ดี ก็แล้วแต่คุณจะสนใจ

- ออกกำลังด้วยการเดิน
แม้ว่าการเดินจะดูเป็นเรื่องธรรมดา และง่ายมากๆ แต่มันคือ 1 ในกิจกรรมที่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดีที่สุด และยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีก ด้วย นอกจากนี้ มันยังประหยัด ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย การเดินในระยะเวลา 1 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญได้ถึง 246 แคลอรี่ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบออกกำลังหนักๆ ก็เลือกเดินเล่นในสวนสาธารณะเพียงวันละ 30 นาที 1 ชั่วโมง ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรงได้แล้ว

- ออกกำลังด้วยการทำสวน
ถ้าชอบปลูกต้นไม้ การทำสวนคือกิจกรรมที่ ดีที่สุดของคุณ แค่ใช้เวลาอยู่กับต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ จัดแจงพรวนดิน รดน้ำท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ หรือลองเลือกพันธุ์ไม้ที่ชอบ อาจจะออกแบบจุดต่างๆ ของสวน ตรงนั้นเป็นซุ้มดอกไม้สีชมพู ตรงนี้สีขาว... ปลูกอ่างบัวสวยๆ ดีไหม เพียงใช้เวลากับเรื่องง่ายๆ แค่นี้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญได้ถึง 684 แคลอรี่ และนอกจากจะได้เผาผลาญพลังงานแล้ว การออกกำลังท่ามกลางธรรมชาติจะช่วยให้ร่างกายของคุณสดชื่นแจ่มใสอีกด้วย ออกกำลังด้วยโทรทัศน์ ข้อนี้ง่ายมาก เคยดูรายการเกี่ยวกับแอโรบิกทางช่องโทรทัศน์ต่างๆ แล้วอยากขยับตัวตามบ้างหรือไม่ หากวันไหนว่างๆ ลองลุกขึ้นยืน เปิดเสียงให้ดังขึ้น แล้วลองขยับตัวไปตามจังหวะที่ได้เห็น แม้ท่าทางของคุณอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนครูผู้สอน แต่การได้ขยับเนื้อขยับตัว ก็จะช่วยเรียกเหงื่อ และทำให้คุณหัวใจเต้นแรงได้เช่นกัน ข้อดีของการออกกำลังแบบนี้ก็คือ อยากเลิกเมื่อไหร่ก็เลิกได้ ไม่ต้องกังวลว่า จะถูกมองจากคนอื่นๆ และถ้าหากเกรงว่าจะไม่รู้เวลาการออกอากาศที่แน่นอน จะเลือกซื้อซีดีหรือดีวีดีมาเก็บไว้ ก็เป็นทางแก้ไขที่ดีเช่นกัน

- ออกกำลังด้วยเพื่อน
ถ้าหากคุณซื้อคอร์สฟิตเนสไปแล้ว และไม่อยากจะไปเลยแม้แต่น้อย ทางสร้างกำลังใจของคุณคือ การผูกมิตร... ถ้าหากคุณมีเพื่อนที่ร่วมออกกำลังด้วยกัน ก็เท่ากับคุณและเพื่อนมีเป้าหมายร่วม ที่จะต้องไปถึงด้วยกัน คุณจะอยากก้าวไปพร้อมๆ กับเพื่อน และรู้สึกไม่สบายใจถ้าต้องทอดทิ้งเพื่อนให้อยู่ในคลาสคนเดียว นี่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณอยากสวมเสื้อผ้า และออกจากบ้านในทุกๆ วัน

- ออกกำลังด้วยการถ่ายรูป
การออกไปวิ่ง หรือปั่นจักรยานอย่างจริงจัง บางครั้งก็ทำให้น่าเบื่อได้เหมือนกัน ก่อนออกจากบ้านวันนี้ ลองติดกล้องถ่ายรูปไปด้วย เมื่อ เห็นอะไรที่น่าสนใจ ลองกดปุ่ม แชะ แชะ แชะ... เพียงเท่านี้ แรงกระตุ้นในใจของคุณก็จะเพิ่มสูง ถ้าอยากสนุกกว่านั้น ลองเปรียบเทียบภาพถ่ายในแต่ละวันเข้าด้วยกันวันนี้คุณได้เจออะไรมาบ้าง และวันต่อๆ ไป คุณอยากจะเจออะไรอีก การคิดเช่นนี้จะทำให้คุณตื่นเต้น และเป็นแรงใจให้อยากออกกำลังต่อไป

- ออกกำลังด้วยเสื้อผ้า
สังเกตบ้างหรือไม่ ตอนนี้แฟชั่นเสื้อผ้าสำหรับการออกกำลังมีแต่สวยๆ เท่ๆ ทั้งนั้น  ให้การเลือกเสื้อผ้าเป็นแรงบันดาลใจในการออกกำลังของคุณ ลองเดินช้อปปิ้งเลือกเสื้อผ้าที่ชอบ จินตนาการถึงตัวเองยามสวมชุดเช่นนี้ในคลาส ว่าจะหล่อเท่ขนาดไหน นอกจากนี้อย่าลืมแอ็คเซสซอรี่ส์ อย่างนาฬิกา ริสท์แบนด์ หมวก ผ้าโพกผม ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งของที่เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้การออกกำลังได้ไม่น้อยเลย

- ออกกำลังด้วยการแอบมองสาวๆ
ข้อนี้อาจจะฟังดูหวือ หวาไปบ้าง แต่สาวๆ นักกีฬาล้วนแต่มีเสน่ห์ทั้งนั้น ทั้งรูปร่างที่สูงเพรียว และท่าทางที่ดูเปิดเผยจริงใจ เวลาไปออกกำลัง ไม่ว่าจะวิ่งง่ายๆ ว่ายน้ำที่สโมสร หรือเล่นกีฬาหนักๆ อย่างแบดมินตัน หรือเทนนิส ลองแอบมองสาวๆ ที่แวะมาเล่นกีฬากัน สังเกตให้ดี สาวๆ เหล่านี้มักจะดูมีเสน่ห์ด้วยสุขภาพ ที่แข็งแรงแจ่มใส และเปี่ยมไปด้วยพลานามัย

แค่นี้การออกกำลังกาย ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว

 ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ จาก Never-Age

เดินเพื่อ สุขภาพ “Nordic Walking”


 การเดินแบบใช้ไม้ค้ำยัน หรือ Nordic Walking ซึ่งเป็นการเดินเพื่อสุขภาพ กำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการผสมผสานระหว่างการเดินทางไกล กับอุปกรณ์ค้ำยันแบบสกีเข้าด้วยกัน

​ในช่วงวันคริสต์มาส ที่ผ่านมา หลายๆ คนเลือกที่จะฉลองด้วยการรับประทานอาหารกันในครอบครัว หรือออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือการรับประทานอาหารมากเกินไปจนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ขึ้น หลังช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง หลายๆ คนจึงนิยมไปออกกำลังกายตามสถานออกกำลังต่างๆ แต่สำหรับคนฟินแลนด์แล้ว พวกเขาเลือกที่จะไปเดินออกกำลังกายกลางแจ้ง ในรูปแบบ "Nordic Walking"

การเดินแบบ "Nordic Walking" เป็นการเดินระยะไกลที่ใช้ไม้ค้ำยัน 1 คู่ ประคองลำตัวขณะเดิน ซึ่งไม้ค้ำยันดังกล่าว จะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานเดินได้ในระยะทางที่ไกลขึ้นกว่าการเดินแบบปกติ นอกจากนี้ การเดินแบบ Nordic Walking ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกเล่นสกี โดยเป็นการฝึกถ่ายโอนน้ำหนักไปยังไม้ค้ำยัน เพื่อเสริมการทรงตัวที่ดีอีกด้วย

การเดินแบบ Nordic Walking นั้นได้รับความนิยมในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเป็นอย่างมากในช่วงสิบปีที่ผ่าน มา ซึ่งล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในกรุงเฮลซิงกิงของฟินแลนด์ ได้สำรวจพฤติกรรมการออกกำลังกายของคนฟินแลนด์ทั่วประเทศ โดยพบว่า การออกกำลังกายด้วยการเดินแบบ Nordic Walking สามารถช่วยเผาผลาญพลังงาน และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้ดีกว่าการเดินแบบปกติ

หลังจากผลการวิจัยถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้นายทูโม แจนทูเน่น ชาวกรุงเฮลซิงกิ ตัดสินใจที่จะตั้งทีมนักเดิน Nordic Walk ขึ้น ซึ่งหลังจากที่เขาได้ประกาศตั้งทีมนักเดินดังกล่าวผ่านทางหนังสือพิมพ์เพียง ไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้รับการตอบรับจากชาวฟินแลนด์เป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดเขามีสมาชิกในทีมแล้วกว่า 200 คน นายแจนทูเน่นยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเดินแบบ "Nordic Walking" นั้นมีประโยชน์กว่าการเดินแบบปกติ ตรงที่การเดินแบบ Nordic Walking จะได้ออกแรงแขนและหัวไหล่ ซึ่งเราไม่สามารถหาได้จากการเดินทั่วไป

สำหรับผู้ที่อยากทดลองเดินแบบ Nordic Walking เป็นครั้งแรกนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าต้องเลือกไม้ค้ำยันที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยการเลือกไม้ค้ำยันที่ดีจะต้องดูที่ความสูงและน้ำหนักของผู้ใช้ ไม่ควรเลือกไม้ค้ำยันที่มีน้ำหนักมากจนเกินไป หรือบอบบางเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถประคองตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ถึงแม้การเดินแบบ Nordic Walking จะได้รับความนิยมมากขึ้นในฟินแลนด์ แต่ผู้ที่เล่นกิจกรรมนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งกระแสความนิยมใน Nordic Walking ทำให้เหล่าสมาชิกสมาคมคนเดิน Nordic Walking หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การกลับมาฮิตอีกครั้งของการออกกำลังกายชนิดนี้ จะสามารถดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ กลับมาสนใจกีฬาดั้งเดิมของประเทศอีกครั้งได้

 ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ จากสนุกดอทคอม

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

การใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หู




คำถาม : การใช้ไม้พันสำลีเพื่อกำจัดขี้หู มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

ขี้หู : ปฏิกูลที่ควรกำจัด...จริงหรือ?

พอกล่าวถึง " ขี้หู "คนส่วนใหญ่จะหมายถึงสิ่งปฏิกูลหรือของเสียที่ร่างกายของคนเราขับถ่ายที่ไหล ออกมาจากรูหู เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความสกปรกและไม่น่าดู จึงมีความพยายามในการกำจัดขี้หูให้หมดสิ้นไป ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีต่างๆ เช่น การแคะหู การใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หู เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่จะเป็นการสร้างปัญหาให้แก่หู เช่น ทำให้ขี้หูอัดแน่น อุดตัน และส่งผลต่อการได้ยิน หรือทำให้เกิดการติดเชื้อใน หูชั้นนอกได้ง่ายขึ้น


ดังนั้น การกำจัดขี้หูอย่างไม่เหมาะสม จึงเป็นการ สร้างปัญหาและทำให้เกิดอันตรายหรือเกิดผลเสียต่อหู มากกว่าที่จะเกิดผลดีต่อสุขภาพของ หู ทั้งนี้เพราะขี้หูมีความสำคัญต่อรูหู ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมและการติดเชื้อที่จะเข้าสู่รูหู จึงควรดูแลสุขลักษณะที่ดีของรูหูและขี้หู ให้เกิดผลดีทั้งในด้านสุขภาพและความสวยงาม ดังจะกล่าวต่อไปนี้


ขี้หู : เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เซลล์บุที่ผิวของรูหู ชั้นนอกมีลักษณะคล้ายกับ เซลล์บุผิวหนังทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้วเซลล์ผิวหนังจะ มีกระบวนการสร้างเซลล์ผิว พร้อมทั้งเลื่อนหรือผลักดันขึ้นสู่ชั้นบนของผิวหนัง และการลอกเป็นขุยหรือสะเก็ดหลุดออกไปได้เอง แต่เซลล์บุที่ผิวในรูหูจะไม่หลุด ลอกออกไปได้เองเหมือนเซลล์ผิวหนัง เซลล์บุในรูหูเหล่านี้จะสะสมเป็นแผ่นเป็นชั้นและเป็นองค์ประกอบสำคัญของขี้ หู คิดตามน้ำหนักได้ประมาณร้อยละ 60 ของน้ำหนักทั้งหมดของขี้หู นอกจากนี้ขี้หูยังประกอบไปด้วย เอนไซม์ เพปไทด์ กรดไขมัน โคเลสเตอรอล แอลกอฮอล์ เป็นต้น ซึ่งเอนไซม์ lysozyme จะมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยการย่อยสลายผนังเซลล์ได้ดีอีกด้วย


การเคลื่อนของขี้หู
ขี้หูมีการเคลื่อนที่ (ceruminokinesis) และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการสร้างขี้หูและถูกหลั่งออกมาสู่ด้านในของรูหู ตำแหน่งใกล้ๆ กับแก้วหู ระยะนี้ขี้หูจะมีลักษณะนุ่ม เหลว ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น ต่อมาขี้หูจะค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมาสู่ภาย นอกด้วยผลของการขยับเคลื่อนที่ของขากรรไกร เมื่อ ขี้หูเคลื่อนที่ออกมาด้านนอกจะทำให้ขี้หูเปลี่ยนไปมีสีเข้มขึ้น เหนียวข้น และมีกลิ่น


ทำไมขี้หูจึงมีสีน้ำตาล?
ลักษณะของขี้หูจะแตกต่าง กันตามเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ พบว่า คนผิวขาว (ชาวยุโรป) และคนผิวดำ (ชาวแอฟริกัน) จะมีขี้หูที่มีสีน้ำตาลตั้งแต่อ่อนๆ จนถึงเข้ม และมีลักษณะเหนียว ข้น และชื้น ขณะที่คนผิวเหลือง (ชาวเอเชียและชาวอินเดียนแดง) จะมีขี้หูเป็นสีเทาหรือสีแทน (gray or tan) และมีลักษณะไม่เหนียว ข้น และชื้น เหมือนชาวยุโรปและแอฟริกัน แต่จะเปราะและแห้ง ซึ่งเกิดจากความแตกต่างในองค์ประกอบของไขมันและสีผิวของขี้หู


ขี้หู : ผู้พิทักษ์รูหู
ขี้หูจะทำหน้าที่เคลือบและ หล่อลื่นเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดกับรูหูชั้นนอก ลักษณะข้นเหนียวของขี้หูจะช่วยจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในรูหู เช่น แมลง ฝุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ขี้หูยังมีคุณสมบัติความเป็นกรด (acidic pH, 4-5) ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ ในรูหูได้

ดังนั้น เมื่อมีการขูดขีดหรือฉีกขาดเล็กน้อยในรูหู เช่น การแคะหูด้วยไม้แคะหู กุญแจ ปากกา เป็นต้น ขี้หูที่เคลือบผิวของรูหูจะช่วยบรรเทาและลดการติดเชื้อที่ผิวของรูหูได้ แต่ถ้ามีการกำจัดขี้หูจนไม่มีขี้หูเหลืออยู่เลย ก็อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม รูหูก็อาจเกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะกรณีที่มีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่ชอบว่ายน้ำ (swimmer s ear) การแคะหูที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ไม้แคะหูที่ไม่สะอาด ก็อาจเกิดการติดเชื้อในรูหูได้ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า หูชั้นนอกอักเสบ (otitis externa) และเชื้อที่เป็นสาเหตุสำคัญคือ Pseudomonas aeruginosa และ Staphylococci

ขี้หูอุดตันและการใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หู
ขี้หูอุดตันส่วนใหญ่เกิดจากการแคะหู หรือการกำจัดขี้หูอย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้)ไม้พันสำลี หรือคัตตอนบัด (cotton bud )


เมื่อเราใช้ไม้พันสำลีแยงเข้าไปในรูหู เพื่อเช็ดและกำจัดขี้หู เมื่อดึงออกมาเราจะเห็นขี้หูบางส่วนติดกับปลายของไม้พันสำลีออกมาด้วย และเราคิดว่า "ได้กำจัดขี้หูออกไปแล้ว" ซึ่งเป็นความคิดที่"ผิด " ทั้งนี้เพราะขี้หูที่ติดมากับปลายของไม้พันสำลีนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ของขี้หูจะถูกไม้พันสำลีกระทุ้งและดันเข้าไปสู่รูหูด้านในมาก ขึ้น เป็นการต้านกลไกการเคลื่อนที่ออกมาด้านนอกโดยอิสระของขี้หู ขี้หูก็จะเริ่มแข็งมากขึ้น และเกิดการอุดตันขึ้น มิหนำซ้ำขี้หูที่ถูกสร้างใหม่จะหลั่งออกมาบริเวณระหว่างที่ที่ขี้หูอุดตัน กับแก้วหู ทำให้ยิ่งเกิดการอุดตันมากขึ้น

นอกจากจะพบขี้หูอุดตันมากในผู้ที่ชอบใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หูแล้ว ยังพบขี้หูอุดตันได้ในผู้ที่ชอบแคะหู หรือผู้ที่มีรูหูโค้งงอมากกว่าปกติ ผู้ที่ผลิตขี้หูมากเกินไป ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต และผู้ที่มีปัญหาทางไขสันหลัง

อาการของขี้หูอุดตัน
ขี้หูอุดตันอาจมีอาการคัน ปวด มึนงง ได้ยินเสียงแว่วในหู ไอ บ้านหมุน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อได้ ขี้หูอุดตันจะส่งผลต่อการได้ยิน นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ก็อาจเกิดการอุดตันของ รูหูได้


ยาละลายขี้หู
การรักษาขี้หูอุดตันแพทย์จะทำการกำจัด ออก และอาจใช้ยาละลายขี้หู (ceruminolytic agents) เพื่อช่วยให้ขี้หูอ่อนนุ่มลง และกำจัดขี้หูได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างยาละลายขี้หู เช่น triethanolamine carbamide peroxide น้ำเกลือ เป็นต้น ซึ่งอาจช่วยให้ขี้หูอ่อนนุ่มมากขึ้น และกำจัดออกได้ง่ายขึ้น


ข้อควรระวังในการแคะหูด้วยตนเอง
ปกติแล้วไม่จำเป็น ต้องล้างหรือทำความสะอาดภายในรูหูเลย เพราะขี้หูจะทำหน้าที่พิทักษ์สภาวะแวดล้อมของหู ถ้าต้องการอาจใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดใบหูระหว่างการอาบน้ำได้ แต่ไม่แนะนำให้ทำการกำจัดขี้หูด้วยตนเอง เพราะมักทำให้เกิดการรบกวนการป้องกันรูหูของขี้หู การใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดรูหูเป็นการกำจัดขี้หูที่ไม่เหมาะสมและอาจทำให้ เกิดอันตรายได้ ทำให้เพิ่มโอกาสของการติดเชื้อของหูชั้นนอกและทำให้แก้วหูทะลุได้ และบางครั้งการใช้อุปกรณ์ ที่มีปลายแหลมอาจทำให้แก้วหูทะลุได้


นอกจากนี้ ไม้แคะหูในร้านตัดผมชายอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคจากผู้หนึ่งไปติดต่อถึงผู้ อื่นได้ และการล้างหูก็อาจทำอันตรายต่อแก้วหูได้เช่นกัน


ไม่ควรใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หู
ถึงตอนนี้คงได้คำตอบ แล้วว่า ถึงแม้จะมีชื่อว่า " ขี้หู " (ของเสียจากหู) แต่ก็ไม่ใช่ของเสียหรือสิ่งที่น่า รังเกียจ ตรงกันข้ามขี้หูกลับมีหน้าที่คอยพิทักษ์สภาวะแวดล้อมของหู คอยเคลือบและให้ความสะอาดของ รูหู ปลอดภัยต่อการติดเชื้อโรค จึงควรดูแลรูหูให้ดีมี สุขอนามัย ไม่ควรใช้ไม้แคะหู หรือไม้พันสำลีเข้าไปเช็ดในรูหู เพราะจะไปทำลายระบบนิเวศวิทยาที่ดีของรูหู และเกิดอันตรายได้


ขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 333
คอลัมน์: ล้านคำถามเรื่องยา ปรึกษาเภสัชกร
นักเขียนหมอชาวบ้าน: ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด

 ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ จาก หมอชาวบ้าน

กินพาราเซตามอลลดไข้ให้ถูกวิธี


 ไม่ว่าจะรู้สึกปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ หรือเมื่อเริ่มมีอาการเหล่านี้ สิ่งแรกที่คนเรานึกถึงก็คือ ยาพาราเซตามอล ยาสามัญประจำบ้านของเรานั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่า จะกินยา ก็กินได้นะคะ ควรจะรู้วิธี กินให้ถูกวิธีด้วยค่ะ ลองอ่านความรู้เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพเรื่องการกินยาพาราเซตามอล จากหมอแมว กันดูนะคะ

กินพาราเซตามอลลดไข้ให้ถูกวิธี

ไม่ใช่กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมงนะจ๊ะ


การกินพาราเซตามอลครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ถ้าเป็นมนุษย์ทำงานทั่วไป จะได้สูงสุดวันละ5ครั้ง (10เม็ดหรือ5กรัม) ซึ่งมีงานวิจัยในปี2006ระบุว่าขนาดที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้ อยู่ที่ 4 กรัม
ขนาดที่ควรใช้ในคนปกติทั่วไป อยู่ที่ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมงเฉพาะเมื่อมีไข้ ไม่งั้นเดี๋ยวมีตับอักเสบจะงงกันค่ะ


และ ไม่ต้องงงที่บางครั้งหมอจ่ายยามาจะยังติดแบบเดิมอยู่ เพราะว่างานวิจัยตัวนี้ตีพิมพ์ในปี2006 กว่าผลจะชัดเจนจนประกาศจริงจังก็ปี2011


ที่สหรัฐแก้ปัญหานี้ไม่ได้เพราะคนติดวิธีการกินครั้งละ2 เม็ดจนตอนหลังเปลี่ยนเป็นแนะนำให้ลดปริมาณตัวยาในเม็ดยาแทน


สรุป กินครั้งละ 1เม็ด ทุก 4-6ชั่วโมง วันหนึ่งไม่เกิน 8 เม็ดนะคะ

1. เวลาอ่านข้างกล่อง บางยี่ห้อจะเขียนว่ากินครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง แปลว่าถ้าเริ่มกิน 6 โมงเช้า กินทุก 4 ชั่วโมง เข้านอน 4 ทุ่ม จะได้ไป 10เม็ดหรือ 5กรัม

2. สมัยก่อนเวลามีไข้แล้วกินครั้งละ 2 เม็ด มีคนสังเกตว่ามีคนเป็นตับอักเสบ แต่ปัญหาคือ การเป็นไข้ติดเชื้อบางอย่างตับก็อักเสบ บางคนมีภาวะตับอักเสบเดิมอยู่แล้ว เลยไม่มั่นใจว่าตกลงเกิดจากอะไรกันแน่


3. ต่อมาเลยมีฝรั่งทำวิจัย ในวารสาร JAMAฉบับ July 5, 2006, Vol 296, No. 1 เอาคนปกติที่ไม่ป่วย ไม่มีตับอักเสบเดิม จับมากินparacetamol วันละ 4 กรัม เทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก ผลคือกลุ่มที่กินวันละ 4 กรัม เกิดตับอักเสบ และตับอักเสบค้างไปอีกพักนึงแม้จะหยุดยาไปแล้ว


4. หลังจากนั้น มีข้อมูลจากหลายๆงานวิจัย ทำให้มีความพยายามจะเปลี่ยนความคิด ให้คนกลับมากินไม่เกินวันละ 4กรัม หรือไม่เกินวันละ 8เม็ด


5. แต่ผ่านไป3-4ปี ไม่ได้ผล ในสหรัฐเลยใช้วิธีแนะให้เปลี่ยนไปกินแบบ 325mg หรือยาพาราเด็ก เพราะกินครั้งละ 2 เม็ดก็จะพอดี ไม่เกิน 4 กรัม


6. ดังนั้น ในคนไทย ที่ตัวเล็กกว่าฝรั่ง ยิ่งต้องกินให้น้อยกว่าฝรั่ง การกินจึงยิ่งต้องไม่เกินวันละ 8 เม็ดค่ะ


7. ตัวเลขนี้ ใช้ในคนปกติที่แข็งแรงดี ถ้าหากดื่มเหล้าเบียร์เป็นประจำ อ้วน เป็นพาหะตับอักเสบบี/ซี หรือมีภาวะไขมันเกาะตับ ยิ่งต้องกินยาพาราเซตามอลให้น้อยลงไปอีกค่ะ



ขอบคุณ 
FB : หมอ แมว

 ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ จาก สนุกดอทคอม